อุทัย แม่ทัพใหม่แสนสิริ ปักธงอสังหาสู่เป้า5หมื่นล้าน
หลังจากที่ ”อภิชาติ จูตระกูล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI ส่งสัญญาณเมื่อช่วงเดือนมกราคม 2567 ที่ผ่านมาว่าถึงเวลาที่ “แสนสิริ” ซึ่งดำเนินธุรกิจมา 40 ปี ต้องมีการปรับโครงสร้างองค์กร สู่การทรานส์ฟอร์ม ส่งเสริมคนรุ่นใหม่เข้ามาทำงานมากขึ้น
ล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติแต่งตั้ง ”อุทัย อุทัยแสงสุข” จากประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ นั่งตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ (President) มีผลวันที่ 15 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ถือเป็นการเดินหน้าปรับทัพ”แสนสิริ”อีกครั้ง เพื่อนำทีมผู้บริหารรุ่นใหม่ สร้างการเติบโตสู่ปีที่ 40 รักษาอันดับผู้นำในธุรกิจพัฒนอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย ตามที่ได้วางแผนไว้ในปี 2567 เตรียมพัฒนาโครงการใหม่กว่า 61,000 ล้านบาท
สำหรับ “อุทัย” นั้น เป็นลูกหม้อของแสนสิริ นับจากก้าวแรกที่ได้ก้าวเข้ามาทำงานอยู่ภายใต้ชายคาแห่งนี้ หลังคว้าปริญญาโทบริหารธุรกิจ จากประเทศสหรัฐอเมริกา จากนั้นบ่มเพาะประสบการณ์มาอย่างยาวนานกว่า 30 ปี จนมาถึงในวันนี้
”ผมเรียนจบปริญญาตรีด้านวิศวกรรม ได้ทำงานที่บริษัท อิตัลไทย เอ็นจิเนียริ่ง อยู่ปีกว่าๆ เป็นวิศวกรก่อสร้างโรงงานผลิตไฟฟ้า จากนั้นเข้ามาทำงานที่ แสนสิริ หลังเรียนจบปริญญาโทและทำอยู่ที่นี่มาตลอด ถึงตอนนี้ก็กว่า 30 ปีแล้ว”
จากสไตล์การทำงานที่พูดแล้วทำ ประกอบกับ “โอกาส” ที่ผู้ใหญ่หยิบยื่นให้ จึงทำให้ “อุทัย” ก้าวขึ้นมาภายใต้ผลงานที่โดดเด่น
“ผู้ใหญ่ให้โอกาสผมเยอะมาก จากพนักงานเล็กๆ จนสามารถเติบโตมาถึงปัจจุบัน ตลอดการทำงาน ผมก็คิดแค่ว่าเราทำอยู่ตรงไหนก็สามารถเติบโตได้ เพราะเราพูดแล้วทำ และทำให้งานนั้นสำเร็จ จึงได้รับความไว้วางใจจากผู้ใหญ่มาตลอด 30 ปี”
ด้านผลงาน ไล่เรียงมีหลายการพัฒนาโครงการแนวราบและแนวสูงที่เป็นไฮไลต์อยู่หลายโครงการ อาทิ โครงการ Flagship ซูเปอร์ลักชัวรี่อย่าง 98 Wireless ถนนวิทยุ ที่สร้างสถิติใหม่ให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ ด้วยราคารีเซลทุบสถิติที่ 1 ล้านบาทต่อตารางเมตร สูงสุดในประเทศไทยเมื่อต้นปี 2566 ที่ผ่านมา
ยังมีโครงการร่วมทุนกับพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศ ไม่ว่าบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ร่วมกันพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เกาะแนวรถไฟฟ้าสาย สีเขียว ยังร่วมทุนกับบริษัท โตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด พันธมิตรจากประเทศญี่ปุ่น ในการพัฒนาโครงการทั้งแนวราบและแนวสูง ที่พัฒนาไปแล้วหลายทำเล
ขณะเดียวกันต่อยอดการลงทุนไปสู่ธุรกิจที่มีศักยภาพ (Potential) ในอนาคต เช่นธุรกิจโรงแรมภายใต้แบรนด์เดอะสแตนดาร์ด ธุรกิจด้านการเงินและธุรกิจด้านพลังงานสะอาด รวมถึงการผลักดันการดำเนินงานด้าน Sustainability ตอกย้ำเจตนารมย์การเป็น ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รักษ์โลก
โดยตั้งเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593
การก้าวขึ้นมานั่งตำแหน่งครั้งนี้ของ “อุทัย” น่าจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการนำทีมผู้บริหารรุ่นใหม่ที่เข้ามาขับเคลื่อนแสนสิริอายุ 4 ทศวรรษ และมีมูลค่าแบรนด์สูงสุด 14,604 ล้านบาท เพื่อสร้างการเติบโตสู่ทศวรรษใหม่ สู่สถาบันธุรกิจ ห้องค์กรเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน รวมถึงเป็นเป้าหมายการเข้าทำงานของคนรุ่นใหม่
”เป้าหมายปี 2567 เรามีเรียบร้อยแล้ว เดินหน้าธุรกิจด้วยแนวทาง RESILIENT GROWTH : ยืนหยัด ยั่งยืน ตามที่ได้ประกาศแผนไปเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยผลงานไตรมาสแรกของปี 2567 น่าจะใกล้เคียงเป้าที่ตั้งไว้ มียอดพรีเซลแล้วประมาณ 10,000 ล้านบาท”
สำหรับแผนธุรกิจปี 2567 ที่แสนสิริประกาศไว้นั้น เตรียมเปิดตัว 46 โครงการใหม่ มูลค่า 61,000 ล้านบาท เป็นแนวราบ 26 โครงการ มูลค่า 35,000 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 20 โครงการ มูลค่า 26,000 ล้านบาท ครอบคลุมทุกระดับราคา ทุกทำเล อยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล 33 โครงการ มูลค่า 45,000 ล้านบาทและต่างจังหวัด 13 โครงการ มูลค่า 16,000 ล้านบาทตามเมืองท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา หัวหิน อยุธยา ฉะเชิงเทรา
ขณะที่ยอดขายปีนี้ตั้งเป้า 52,000 ล้านบาท และยอดโอน 43,000 ล้านบาท เติบโตจากปี 2566 ที่สามารถเปิดตัว 44 โครงการ มูลค่ารวมสูงถึง 65,000 ล้านบาท สร้างสถิติใหม่ ALL-Time High เติบโตจากปีก่อนหน้า 50% และโตขึ้นจากช่วงเกิดโควิดถึง 10 เท่า ท่ามกลางวิกฤตท้าทายรอบด้าน
”ปัจจุบันแสนสิริ เราเป็นผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์อยู่แล้ว ทั้งแบรนด์และการพัฒนาโครงการ ให้สอดคล้องตาม DNA คือ Speed to Market ไม่ว่าคอนเซ็ปต์ การออกแบบโครงการที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ไม่ได้มองเฉพาะแค่ยอดขายและกำไรอย่างเดียว ซึ่งแบรนดิ้งเราเป็นเบอร์หนึ่งมาตลอด เราก็ต้องพยายามรักษาตรงนี้ไว้ให้ได้ เพื่อให้ธุรกิจเติบโตต่อไป ทั้งในเรื่องของการสร้างคน การวางแผน การแก้ปัญหาแต่ละเรื่อง ไม่ใช่แค่ 40 ปี ต้องเป็น 50-60 ปีและต่อไปในระยะยาว”
ในยุคที่ “ดอกเบี้ยขาขึ้น” ตลอดปี 2566 ต่อเนื่องมาถึงปีนี้ ถึงจะยังไม่มีการปรับขึ้นอีก แต่ “อุทัย” มองว่า ดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับ 2.50% ยังไงก็กระทบกับในแง่อำนาจการซื้อ การจับจ่ายใช้สอยทั่วไป โดยดอกเบี้ยขึ้นทุก 1% จะกระทบอำนาจการซื้อหายไปประมาณ 8%
”สถานการณ์ดอกเบี้ยในปีที่ผ่านมาที่ค่อนข้างสูง ถือมีผลต่อธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ทั้งในแง่ของต้นทุนและกำลังซื้อ เพราะสภาวะเศรษฐกิจหลังไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ที่ผ่านมาชะลอตัวลง เข้าใจว่าการที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพราะกังวลภาวะเงินเฟ้อและเงินไหลออก แต่ตอนนี้เงินเฟ้อของไทยค่อนข้างต่ำแล้ว ฝ่ายที่ดูแลเรื่องดอกเบี้ย ไม่ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ต้องพิจารณาดอกเบี้ยลง แล้วดูจะกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเอสเอ็มอี ซึ่งตอนนี้คนทำธุรกิจมีภาระสูง ขณะที่ดอกเบี้ยที่สูงขึ้น สุดท้ายแล้วจะส่งผ่านไปถึงผู้บริโภค”
”อุทัย” เล่าว่า ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา แสนสิริได้ช่วยเหลือลูกค้า โดยสิ่งที่เราทำ เรื่องแรก คือ มีทีมการขายที่มีความรู้ความสามารถด้านการเงินมาช่วยลูกค้าให้สามารถกู้โพสต์ไฟแนนซ์ได้ หรือให้คำปรึกษา อย่างกรณีที่คนเดินเข้ามาไม่มีความรู้อะไรเลย ฝ่ายขายเราจะถามว่ามีภาระหนี้อะไร ซึ่งจะคำนวณคร่าวๆ และสามารถซื้อโครงการเราได้ หรือคนที่มีปัญหา มีภาระหนี้ต่างๆ เช่น บัตรเครดิต จะแนะนำให้ปิดหนี้ทั้งหมดก่อน
เรื่องที่สอง เราคุยกับแบงก์ประมาณ 4-5 แบงก์ใหญ่ ที่จะมาคุยกับเราก่อน โดยมีข้อมูลที่น่าสนใจมากว่าลูกค้าของแสนสิริที่ซื้อและทำการจดจำนองกับแบงก์เป็นโพสต์ไฟแนนซ์ ปรากฏว่าโครงการของแสนสิริ มีโอกาสที่จะเป็นหนี้เสีย หรือเอ็นพีแอล หรือเอ็นพีเอ น้อยมาก สะท้อนว่าคุณภาพของลูกค้าเรามีศักยภาพ ถ้าลูกค้าที่มาซื้อโครงการของแสนสิริในการให้แวลู และในแง่ของความเสี่ยงจะลดลงมากกว่าปกติ ทำให้ลูกค้าสามารถกู้ได้
อีกเรื่องที่กรรมการผู้จัดการใหญ่แสนสิริ อยากให้มีการปลดล็อกเช่นกัน นั่นคือ มาตรการ LTV โดยมองว่ามีผลอย่างมากต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ หากธนาคารแห่งประเทศไทย มีการผ่อนปรน จะทำให้คนเข้าถึง สินเชื่อได้ง่ายขึ้น
พร้อมย้ำว่าการเดินหน้าธุรกิจต้องทำคู่ขนานไปกับความยั่งยืน โดยแสนสิริเดินหน้าผ่าน 3 กลยุทธ์ คือ การเลือกใช้วัสดุ การออกแบบ และการก่อสร้างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตั้งเป้าภายในปี 2568 จะติดตั้งโซลาร์รูฟ 6,600 หลัง ครอบคลุมบ้านเดี่ยวทุกหลัง คอนโดมิเนียมและพื้นที่ส่วนกลางทุกโครงการใหม่ได้ครบ 100% และผลจากการติดโซลาร์เซลล์ ทำให้ลูกบ้านประหยัดค่าไฟไปได้ 3,000-7,000 บาทต่อเดือน
สำหรับปี 2567 จะเพิ่มความเข้มข้นมากขึ้นในเรื่อง net zero บ้านประหยัดพลังงาน รวมถึงเพิ่มเรื่องเวลเนสเข้าไปในบ้านที่อยู่อาศัย เพราะตอนนี้เป็นเทรนด์ ขณะเดียวกันจะเสริมพลังงานสะอาดเข้าไปในอินฟราสตรัคเจอร์ภายในบ้าน เช่น อีวีชาร์จเจอร์ และโซลาร์ แบตเตอรี่ ในคลับเฮาส์โครงการบ้านเดี่ยวเศรษฐสิริที่เปิดใหม่ แม้เป้า 2593 จะดูห่างไกล แต่ก็ต้องเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ เพราะมีหลายเรื่องต้องทำ เพื่อรับการเปลี่ยนแปลงและเทรนด์ของโลก