กคช.-รสก.-แบงก์ ตั้ง เคหะเอสเตท ผุด 5โครงการบ้านดูแลผู้มีรายได้น้อย

09 Feb 2021 515 0

          เปิดพันธกิจเร่งด่วน ผู้ว่าฯ การเคหะฯ “ทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ” เดินหน้าจัดประโยชน์สินทรัพย์ให้ดีขึ้น กคช.ต้องพึ่งพาตัวเองให้ได้ พร้อมผนึกบริษัทลูกรัฐวิสาหกิจ ออมสิน บริษัทประกัน ตั้งบริษัทลูก “บมจ.เคหะสุขประชา” ขับเคลื่อนโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อผู้มีรายได้ นำร่อง 5 โครงการสำคัญ บรรเทาความเดือนร้อนจากโควิด-19 ดึงกลับโมเดลพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส ทั้งโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง เฟส 3 และ 4 มูลค่า 30,000 ล้านบาท, ร่มเกล้า และแปลงหนองหอย จ.เชียงใหม่ หลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจจากไวรัสระบาด

          นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ์ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ภายใต้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวถึงการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยในปี 2564 ว่า จะให้ความสำคัญกับ 5 โครงการที่จะส่งเสริมและดูแลผู้มีรายได้น้อยและปานกลางทั่วประเทศได้มีที่อยู่อาศัย โดยจะมีการปรับ รูปแบบโครงการ (Re-Business) เน้นบ้านเช่าราคาถูกช่วยเหลือสังคม ได้แก่ โครงการบ้านเคหะสุขประชา และเศรษฐกิจสุขประชา จำนวน 20,000 หน่วย (แผน 1 แสนหน่วย) โครงการที่อยู่อาศัยสำหรับข้าราชการชั้นผู้น้อยที่เกษียณอายุ “บ้านเกษียณสุข”, โครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ (Senior Complex), โครงการที่อยู่อาศัยตามแนวทางโครงข่ายคมนาคม (TOD) และโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับคนพิการ

          ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐ ให้เป็นไปตามแผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 20 ปี ภายใต้วิสัยทัศน์ “คนไทยทุกคนมีที่อยู่อาศัยถ้วนทั่วและมึคุณภาพชีวิตที่ดีในปี 2579” (Housing For All) อย่างไรก็ตาม เพื่อให้กคช.สามารถขับเคลื่อนภารกิจให้สำเร็จและเกิดความคล่องตัวมากที่สุด จึงได้มีการเสนอแผนต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในการจัดตั้งบริษัทลูก ภายใต้ชื่อ “บมจ.เคหะสุขประชา” (Keha Estate Development Public Company Limites) ทุนจดทะเบียน 500 ล้านบาท ในการเข้ามาดูแลโครงการต่างๆ รวมถึง 5 โครงการที่จะต้องดำเนินการในปีนี้ต่อเนื่องถึงปี 2566

          โดยโครงสร้างจะมีคล่องตัวในการทำงาน และต้องสนับสนุนพันธกิจในการดูแลผู้อยู่อาศัยและชุมชน รวมถึงต่อยอดการสร้างคุณภาพชีวิตให้กับผู้อยู่อาศัย และดูแลโครงการบ้านเอื้ออาทรที่มีอยู่ ซึ่ง กคช.จะถือหุ้นในสัดส่วนที่ต่ำกว่า 49% และมีบริษัทลูกของรัฐวิสาหกิจต่างๆ เช่น บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด บริษัทปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ และบริษัทประกัน เป็นต้น

          ”เราต้องพึ่งพาตัวเองให้ได้ ปีนี้จะมีการปรับปรุงจัดประโยชน์แอสเสทให้มากขึ้น ในส่วนของบริษัทลูก ก็จะมาเสริมให้ กคช.คล่องตัวขึ้น โดยที่ธนาคารออมสินมีความสนใจที่จะเข้าร่วม ซึ่งกคช.คงต้องถอยการถือหุ้นมาอยู่ระดับ 40 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ บริษัทลูก สามารถต่อยอดธุรกรรมเพิ่มเติม เช่น จัดตั้งบริษัทลูกแห่งใหม่ ร่วมกับบริษัทบริหารสินทรัพย์ได้ เพื่อร่วมกันบริหารแอสเสทให้มีคุณภาพมากขึ้น”

          สำหรับในปี 2564 การเกิดระบาดลอกใหม่ ทาง กคช.ได้กำหนดมาตรการช่วยเหลือลูกค้าใหม่ผ่าน 3 รูปแบบโปรโมชัน ไปสิ้นสุด 31 มิถุนายน 2564 ได้แก่ โปรโมชันดอกเบี้ยเช่าซื้อ 0% เป็นเวลา 1 ปี, โปรโมชันลดราคา โครงการบ้านเอื้ออาทร 56 โครงการ กำหนดราคาขายเงินสดหน่วยละ 250,000-520,000 บาท และเช่าราคาพิเศษ 999-1,200 บาทต่อเดือนในปีแรก จำนวน 84 โครงการ เป็นต้น

          ”เราไปเห็น บริษัทอสังหาฯ แห่งหนึ่ง จัดโปรอยู่ฟรี 3 ปี ซึ่งเป็นแนวทางที่จะนำมาประยุกต์ใช้กับโครงการที่อยู่อาศัยของ กคช.ได้ เช่น การผ่อนแบบบอลลูน หรือ Balloon Payment คือ แบ่งเบาภาระผู้ซื้อในระยะแรก หรือในช่วงท้ายๆ ของการผ่อน อาจจะมีเงินงวดก้อนใหญ่ เป็นต้น”

          ในส่วนความคืบหน้าโครงการร่วมลงทุนขนาดใหญ่นั้น ด้วยสภาวะเศรษฐกิจและการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ กคช.ต้องนำโครงการขนาดใหญ่เหล่านี้ กลับมาทบทวนใหม่ ได้แก่ โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง เฟส 3 และ 4 มูลค่า 30,000 ล้านบาท ที่จะมีทั้งโครงการอาคารสำนักงาน ที่อยู่อาศัย และชอปปิ้งมอลล์, โครงการร่มเกล้าคอนเน็กชั่น เขตลาดกระบัง กรุงเทพฯ และโครงการเคหะชุมชนเชียงใหม่ (หนองหอย) อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เป็นต้น

          ผู้ว่าฯ กคช.กล่าวถึงการบริหารต้นทุนทางการเงินว่า ผลจากการที่ระดมทุนผ่าน การออกพันธบัตรเพื่อสังคม (Social Bond) จำนวน 6,800 ล้านบาท เพื่อนำมาปรับโครงสร้างนี้เงินกู้ (รีไฟแนนซ์) จากการพัฒนาโครงการบ้านเอื้ออาทร โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย และโครงการแฟลตดินแดง (แปลง G) ตัวเลขหนี้จากที่มีอยู่ 35,000 ล้านบาท ลดลงมาอยู่ระดับต่ำกว่า 29,000 ล้านบาท ช่วยลดภาระที่ต้องชำระดอกเบี้ยแต่ละปีที่ 4-5% ลงได้ ซึ่งเป็นผลดีต่อตัวเลขหนี้สินต่อทุนที่ลดลง แม้จะไม่ได้อยู่ระดับ 1 เท่า แต่ก็ปรับลงมาอยู่ที่ 2.6 เท่า ซึ่งในแผนต้องบริหารให้ได้อยู่ระดับ 2 เท่า

          แต่ทั้งนี้ในโครงสร้างหนี้ 29,000 ล้านบาท มีส่วนที่เป็นเงินกู้เดิมที่ปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อ (กว่า 33,000ราย) ให้กับลูกค้าเป็นเงินต้นกว่า 10,000 ล้านบาท “การจะให้หนี้สินต่อทุนอยู่ระดับ 1 เท่านั้น คงจะยาก เพราะเรามีการปล่อยสินเชื่อ แต่เราแก้ไขโดยกระจายหนี้ ไม่ให้กระจุกตัว เพื่อไม่ให้กระทบต่อฟันดิ้ง แต่เรามี แอสเสทที่ Cover หนี้มากกว่านั้น ซึ่งการบริหารต้นทุน ทำให้เราสามารถที่จะออก แพ็กเกจหรือสนับสนุนลูกค้าเราได้”

Reference:

Click icon to remove from or add to favorite list
Click to choose and click "Compare" button